หมอประจำบ้าน: ครรภ์เป็นพิษ/โรคพิษแห่งครรภ์ (Toxemia of pregnancy)ครรภ์เป็นพิษ (โรคพิษแห่งครรภ์ ก็เรียก) หมายถึง ภาวะผิดปกติที่พบในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งประกอบด้วยอาการ 3 ประการร่วมกัน ได้แก่ อาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ
โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของหญิงตั้งครรภ์ มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์
ครรภ์เป็นพิษยังแบ่งเป็น โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก (preeclampsia) ซึ่งมีเพียงอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ ไม่มีอาการชักหรือหมดสติ กับโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) ซึ่งจะมีอาการชักหรือหมดสติ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ของโรคครรภ์แห่งพิษระยะก่อนชักอาจกลายเป็นโรคครรภ์แห่งพิษระยะชัก
หลังจากคลอดแล้วอาการของครรภ์เป็นพิษจะค่อย ๆ หายไปได้เอง
สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของรกซึ่งมีเลือดไปเลี้ยงได้น้อยกว่าปกติ อันอาจเนื่องมาจากมีเลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อย หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกมีความผิดปกติ มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งความผิดปกติทางกรรมพันธุ์
มักพบในหญิงตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรืออายุมากกว่า 40 ปี คนที่อ้วน ครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก หญิงที่เคยเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน หรือมีประวัติว่ามารดาหรือพี่สาวน้องสาวเป็นครรภ์เป็นพิษ และในผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นต้น)
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า
ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักในระยะรุนแรง จะพบความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มม.ปรอท อาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เอนไซม์ตับขึ้นสูงและภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เลือดออกง่าย มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง) อาจมีอาการปวดตรงลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวารุนแรง เนื่องจากมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มตับ อาจมีอาการหายใจหอบ (เพราะปอดบวมน้ำ) ปัสสาวะออกน้อย (เพราะไตวายเฉียบพลัน)
ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก จะมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งอาจเกิดก่อนคลอด ขณะคลอด หรือภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอด
ภาวะแทรกซ้อน
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ของหญิงที่เป็นครรภ์เป็นพิษ เช่น ตามัว สายตาเลือนลาง (เนื่องจากความผิดปกติของจอประสาทตาหรือศูนย์การเห็นที่สมองส่วนท้ายทอย) ตับวาย ไตวาย ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เซลล์สมองตายเนื่องจากสมองขาดเลือด เลือดออกในสมอง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาในอนาคต
อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า "HELLP syndrome" ซึ่งประกอบด้วยภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (H - hemolysis) เอนไซม์ตับสูง (EL - elevated liver enzymes) และเกล็ดเลือดต่ำ (LP - low platelet count) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรง มีอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์
ในรายที่ครรภ์เป็นพิษชนิดร้ายแรงหรือโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-15
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ความดันโลหิตช่วงบน (ซิสโตลี) ≥ 140 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง (ไดแอสโตลี) ≥ 90 มม.ปรอท (ถ้าช่วงบน ≥ 160 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง ≥ 110 มม.ปรอท ก็ถือว่ารุนแรง)
เท้าบวม กดมีรอยบุ๋ม
อาจตรวจพบภาวะซีด จ้ำเขียว เลือดออก
นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบรีเฟล็กซ์ของข้อไว (hyperreflexia) หรือภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ซึ่งใช้เครื่องฟังปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ซึ่งถ้ายิ่งมีมาก (ขนาด 3+ หรือ 4+) ก็ถือว่ายิ่งรุนแรง
นอกจากนี้อาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเลือดพบเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สารบียูเอ็นรวมทั้งครีอะตินีนขึ้นสูง และเกล็ดเลือดต่ำ การตรวจอัลตราซาวนด์ดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เป็นต้น
การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ในรายที่เป็นไม่มาก ไม่จำเป็นต้องพักในโรงพยาบาล แนะนำให้นอนพักที่บ้านให้เต็มที่ทั้งวัน (การนอนพักจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังสมอง หัวใจ ตับ ไต และรกได้ดี อาการของโรคอาจทุเลาได้) และนัดผู้ป่วยมาตรวจสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 2 วัน หรือส่งพยาบาลไปเยี่ยมบ้าน เพื่อประเมินอาการทุกวัน
ถ้าไม่ดีขึ้น หรือความดันช่วงบน ≥ 140 หรือช่วงล่าง ≥ 90 มม.ปรอท หรือมีปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนพักให้เต็มที่ ทำการตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อ ตรวจดูสารไข่ขาวในปัสสาวะ และฟังเสียงหัวใจทารกบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องตรวจเลือด (ดูจำนวนเกล็ดเลือด อิเล็กโทรไลต์ บียูเอ็น ครีอะตินีน เอนไซม์ตับ) ทุก 1-2 วัน
ถ้าพบว่ามีความดัน ≥ 160/110 มม.ปรอท จะให้ยาลดความดัน เช่น ไฮดราลาซีน (hydralazine) 5-10 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ควรควบคุมให้ความดันช่วงล่างอยู่ระหว่าง 90-100 มม.ปรอท (ถ้าลดต่ำกว่านี้อาจทำให้รกขาดเลือดไปเลี้ยงได้) ห้ามให้ยาลดความดันกลุ่มยาต้านเอช เพราะอาจทำให้ทารกพิการและมารดาไตวายได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ไม่ดี (ยกเว้นในรายที่มีปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากไตวาย อาจให้ฟูโรซีไมด์)
ถ้าเป็นมาก อาจฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) เพื่อป้องกันอาการชักและช่วยลดความดัน
เมื่อครรภ์ใกล้กำหนดคลอด (มากกว่า 34 สัปดาห์) ควรหาวิธีทำให้เด็กคลอด โดยการใช้ยากระตุ้น หากไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
2. หากมีอาการชัก แพทย์จะฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต หรือไดอะซีแพมควบคุมอาการชัก และรีบทำการคลอดเด็ก หลังคลอดอาจต้องให้ยาป้องกันชักต่อไปอีก 1-7 วัน
การดูแลตนเอง
หากสงสัย เช่น หญิงที่ตั้งครรภ์มีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
บริโภคอาหารพวกโปรตีนให้มาก
ลดการบริโภคเกลือและอาหารเค็ม
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียนมาก หายใจหอบ ดีซ่าน ซีด จ้ำเขียว เลือดออกจากช่องคลอดหรือที่อื่น ๆ บวม ปัสสาวะออกน้อย หรือชัก
ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
การป้องกัน
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน ก่อนตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน รักษาโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ให้ได้ผล
เมื่อตั้งครรภ์ ควรรีบฝากครรภ์ แพทย์จะสามารถตรวจพบอาการครรภ์เป็นพิษและให้การดูแลรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนลงได้
ข้อแนะนำ
โรคนี้สามารถให้การดูแลรักษาให้ปลอดภัยได้ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ ถ้ามีการตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็น ดังนั้นจึงควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ หมั่นชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรแนะนำไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล