ข้อมูลโรค: แผลเปื่อยที่ปากแผลเปื่อยที่ปาก หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า ร้อนใน เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อบุในช่องปากเกิดการอักเสบและเป็นแผล มักมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี สีขาวหรือเหลือง มีขอบแดง มักจะเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะเวลาทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือพูดคุย
ประเภทของแผลเปื่อยที่ปาก
แผลเปื่อยที่ปากมีหลายประเภท ที่พบบ่อยที่สุดคือ แผลร้อนใน (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore) ซึ่งแบ่งออกเป็น:
แผลร้อนในชนิดเล็ก (Minor Aphthous Ulcers):
พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 80% ของแผลร้อนในทั้งหมด)
ขนาดเล็ก (น้อยกว่า 1 เซนติเมตร)
มักมี 1-5 แผล
หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
แผลร้อนในชนิดใหญ่ (Major Aphthous Ulcers):
พบน้อยกว่า (ประมาณ 10% ของแผลร้อนในทั้งหมด)
ขนาดใหญ่กว่า (มากกว่า 1 เซนติเมตร) ลึกกว่า และอาจมีรูปร่างผิดปกติ
มักมีแผลเดียว แต่เจ็บปวดมาก
ใช้เวลาหาย 2-6 สัปดาห์ และอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้
แผลร้อนในชนิดคล้ายเริม (Herpetiform Ulcers):
พบน้อยที่สุด
เป็นแผลเล็กๆ จำนวนมาก (10-100 แผล) รวมตัวกันเป็นกลุ่ม คล้ายกับแผลที่เกิดจากเชื้อเริม แต่ไม่ได้เกิดจากเชื้อเริม
หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
สาเหตุของแผลเปื่อยที่ปาก (แผลร้อนใน)
สาเหตุที่แท้จริงของแผลร้อนในยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่:
ความเครียด: เป็นปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อยที่สุด
การพักผ่อนไม่เพียงพอ: นอนดึก อดนอน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: เช่น ในผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน
การบาดเจ็บในช่องปาก: เช่น กัดกระพุ้งแก้มโดยไม่ตั้งใจ, แปรงฟันแรงเกินไป, ฟันปลอมไม่พอดี, การจัดฟัน
การขาดสารอาหาร: โดยเฉพาะธาตุเหล็ก, สังกะสี, โฟเลต (กรดโฟลิก), วิตามินบี 12
อาหารบางชนิด: เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว (ส้ม, มะนาว, สับปะรด), ช็อกโกแลต, ถั่ว, กาแฟ, อาหารรสจัด
สารเคมีบางชนิดในยาสีฟัน: เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดฟอง อาจระคายเคืองในบางคน
พันธุกรรม: มีแนวโน้มที่จะเกิดในคนที่มีประวัติครอบครัว
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคโครห์น (Crohn's disease), โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง, โรคเซลิแอค (Celiac disease), โรคเบเชท (Behcet's disease) ซึ่งเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบที่ทำให้เกิดแผลในปาก อวัยวะเพศ และตา
อาการของแผลเปื่อยที่ปาก
อาการนำ: บางคนอาจรู้สึกยุบยิบ หรือแสบร้อนบริเวณที่จะเกิดแผลก่อน
ลักษณะแผล: เป็นแผลกลมหรือรี สีขาวหรือเหลือง มีขอบแดงชัดเจน
ตำแหน่ง: พบได้ทุกที่ในช่องปาก แต่พบบ่อยที่กระพุ้งแก้ม, ริมฝีปากด้านใน, ลิ้น, เหงือก, เพดานอ่อน
ความเจ็บปวด: เจ็บปวดมาก โดยเฉพาะเวลาทานอาหารรสจัด ร้อน เย็น หรือพูด
อาการอื่นๆ (พบน้อย): ในบางรายที่มีแผลใหญ่หรือหลายแผล อาจมีไข้ต่ำๆ หรือต่อมน้ำเหลืองโตได้
การรักษา
โดยทั่วไปแผลร้อนในมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ การรักษาเน้นที่การบรรเทาอาการและป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน:
การบรรเทาอาการเจ็บปวด:
ยาป้ายปาก/เจลป้ายปาก: ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (เช่น Triamcinolone Acetonide) หรือยาชาเฉพาะที่ (เช่น Lidocaine) ช่วยลดการอักเสบและอาการเจ็บปวด
น้ำยาบ้วนปาก: ที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อ (เช่น Chlorhexidine) เพื่อลดการติดเชื้อ หรือน้ำยาบ้วนปากสเตียรอยด์
ยาแก้ปวด: เช่น Paracetamol (พาราเซตามอล) หากเจ็บปวดมาก
การดูแลตนเอง:
หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคือง: เช่น อาหารรสจัด เผ็ดร้อน เปรี้ยว เค็มจัด หรืออาหารที่แข็งและบาดปาก
บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ: อมกลั้วเบาๆ เพื่อช่วยทำความสะอาดและลดการอักเสบ
รับประทานอาหารอ่อนๆ: ที่ไม่จำเป็นต้องเคี้ยวมาก เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป
ดื่มน้ำมากๆ: เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในช่องปาก
พักผ่อนให้เพียงพอ: ลดความเครียด
ดูแลสุขอนามัยช่องปาก: แปรงฟันเบาๆ ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม และใช้ยาสีฟันที่ไม่มีสาร SLS หากสงสัยว่าแพ้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม/เสริมสารอาหาร:
หากสงสัยว่าขาดสารอาหาร ควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย หรือเสริมวิตามิน/แร่ธาตุที่จำเป็น (ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร)
หากเกิดจากฟันปลอม หรือการจัดฟัน ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อปรับแก้
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?
คุณควรไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์หาก:
แผลมีขนาดใหญ่มาก หรือเป็นแผลชนิดใหญ่ (Major Aphthous Ulcer)
แผลไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์
มีแผลเกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยมาก หรือเป็นพร้อมกันหลายแผล
มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดท้อง ท้องเสีย
สงสัยว่าแผลเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ เช่น เชื้อรา หรือเริม
การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วจะช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ครับ